ค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย: มาตรการเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

ในวันที่ 30 เมษายน 2568 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศมาตรการลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4.15 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 มาตรการนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนทั่วประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน

การประกาศลดค่าไฟฟ้าครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยไม่ต้องใช้งบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้แถลงรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ณ สำนักงาน กกพ. อาคารจัตุรัสจามจุรี ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร

ที่มาของการลดค่าไฟฟ้า

การลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำกับดูแลให้คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (บอร์ด กฟผ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการลดค่าไฟฟ้าลงให้เหลือไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย

จากการสำรวจข้อมูลโดยสำนักข่าวฐานเศรษฐกิจพบว่า กกพ. ได้ใช้หลากหลายแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญคือการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท ออกไปก่อน เพื่อลดภาระต้นทุนในระยะสั้น

มาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว

นอกจากการลดค่าไฟฟ้าในทันที คณะรัฐมนตรียังได้มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบพลังงานไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันนับจากวันที่มีมติ โดยมีประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ดังนี้

  1. การแก้ไขปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ทั้งในรูปแบบการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และรูปแบบการให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT) รวมถึงการแก้ไขเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาดังกล่าวมีอายุต่อเนื่องโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุด ซึ่งเป็นภาระผูกพันระยะยาวที่ส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า
  2. การแก้ไขปัญหาค่าความพร้อมจ่าย (AP) และค่าพลังงาน (EP) รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงอื่นในสัญญา PPA จากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว ในทุกสัญญาที่มีเงื่อนไขที่ทำให้ กฟผ. หรือรัฐเสียเปรียบ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินควร
  3. การแก้ไขอุปสรรคของข้อตกลงในสัญญารับซื้อไฟฟ้า ที่ทำให้ศูนย์การควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ไม่สามารถบริหารจัดการการสั่งผลิตไฟฟ้าให้มีต้นทุนที่ต่ำลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับโครงสร้างระบบ Pool Gas

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาและเสนอแนวทางปรับโครงสร้างระบบ Pool Gas เพื่อให้ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชนมีราคาต่ำลง โดยต้องดำเนินการให้ทันรอบประกาศราคาค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นการวางแผนล่วงหน้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาค่าไฟฟ้าในระยะกลางถึงระยะยาว

ผลกระทบต่อประชาชน

การลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนทุกครัวเรือนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ ยังเป็นการลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ การลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเพื่อลดค่าครองชีพและสร้างความเป็นธรรมในระบบพลังงานของประเทศ โดยการปรับแก้ไขเงื่อนไขสัญญาต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมและเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ

ความท้าทายในอนาคต

แม้ว่าการลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้จะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชน แต่ก็ยังมีความท้าทายในระยะยาวที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแก้ไขโครงสร้างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีความซับซ้อนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย รวมถึงการปรับโครงสร้างระบบพลังงานให้มีความยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาว

ประชาชนและภาคธุรกิจจึงควรติดตามความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่าราคาค่าไฟฟ้าจะมีความเหมาะสมและเป็นธรรมในระยะยาว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของหน่วยงานด้านพลังงานของประเทศ

การลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ที่มุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต