พยาบาลฟอกไต หวั่นตกงาน-คนไข้เสียโอกาส ยื่นศาลปกครองขอเพิกถอนประกาศ สธ.

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 09.00 น. บรรยากาศที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ เต็มไปด้วยความตึงเครียดเมื่อตัวแทนกลุ่มพยาบาลห้องฟอกไตประมาณ 10-20 คน เดินทางมารวมตัวกันเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง พวกเขาเป็นพยาบาลรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์การทำงานในห้องฟอกไตมายาวนานนับ 10 ปีขึ้นไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพยาบาลกลุ่มนี้ และอาจนำไปสู่วิกฤตในระบบสาธารณสุขหากห้องฟอกไตต้องปิดตัวลง เนื่องจากพยาบาลไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อกำหนดใหม่

ความเดือดร้อนของพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ

นางพิราวรรณ ศรีไหม หนึ่งในตัวแทนพยาบาลห้องฟอกไตที่ได้รับผลกระทบ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ เธอเปิดเผยว่าพยาบาลในกลุ่มนี้ทั้งหมดผ่านการอบรมฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและผ่านการสอบขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยมาเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน อันเนื่องมาจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้และทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“พวกเราขอศาลเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ และขอทุเลาข้อบังคับของสภาการพยาบาล ให้เราทำงานถูกต้องไปก่อน” นางพิราวรรณกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “และจริงๆ เวชปฏิบัติควรให้เราที่ผ่านการอบรมเรื่องไตเทียมถูกต้องแล้ว ขึ้นทะเบียนจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยแล้ว เราควรมีสิทธิได้ใบเวชปฏิบัตินั้น”

นางพิราวรรณยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงการยื่นฟ้องในครั้งนี้ว่า “เรื่องการยื่นฟ้องศาล เราขอไต่สวนฉุกเฉิน เนื่องจากทุกคนยังต้องทำงาน อย่างวันนี้ก็แบ่งกันมา ไม่สามารถมากันได้หมด เพราะจะกระทบคนไข้ คนไข้ยังต้องฟอกเลือดทุกวัน ส่วนสภาการพยาบาลก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ”

ประสบการณ์ยาวนานที่ถูกละเลย

ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติม นางพิราวรรณได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานของพยาบาลในกลุ่มนี้ว่า พวกเขาทำงานเกี่ยวกับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โดยผ่านการอบรมจากสถาบันต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ หลายคนได้ผ่านการอบรมมาแล้ว 20-30 ปี เนื่องจากหลักสูตรดังกล่าวมีการเปิดสอนมานานแล้ว และได้รับการรับรองโดยสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ พยาบาลเหล่านี้ทำงานดูแลผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกระทั่งมีการประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องมาตรฐานการให้บริการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในสถานพยาบาล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นประกาศที่เกี่ยวเนื่องกับข้อบังคับของสภาการพยาบาลและสมาคมพยาบาลโรคไต จึงนำมาสู่การร้องขอความช่วยเหลือจากศาลในครั้งนี้

“เราเคยขอขึ้นทะเบียนเป็นพยาบาลเวชปฏิบัติการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เรายื่นไปแล้วกับทางสภาการพยาบาล แต่ถูกปฏิเสธ” นางพิราวรรณกล่าวด้วยความผิดหวัง “ด้วยเหตุผลว่า หลักสูตรที่พวกเราเรียนมาไม่ได้รับรองจากสภาการพยาบาล ทั้งที่พวกเราทำงานมาตลอด 20-30 ปี และผ่านการอบรมตามข้อกำหนดของประกาศกระทรวงสาธารณสุขเดิม ทั้งของปี 2543 และ ปี 2554 ซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย”

ความเสี่ยงทางกฎหมายและผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข

นางพิราวรรณกล่าวต่อด้วยความกังวลว่า แม้จะมีการบอกว่าพยาบาลยังสามารถทำงานต่อไปได้ แต่หากยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ก็เหมือนกับการทำงานโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งหากเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติงาน พวกเขาอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ไม่เพียงแต่ตัวพยาบาลเอง แต่ยังรวมถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล และปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่อาจมีความผิดตามกฎหมายด้วย เพราะไม่ได้รับการรับรองจากสภาการพยาบาลตามข้อบังคับใหม่

นอกจากนี้ นางพิราวรรณยังได้กล่าวถึงทางออกที่สมาคมพยาบาลโรคไตเสนอให้ คือการเข้าเรียนในหลักสูตรใหม่ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถึง 40,000 บาท โดยในปัจจุบันมีผู้ที่ได้รับผลกระทบและต้องลงทะเบียนใหม่ประมาณ 1,000 คน แต่หลักสูตรที่เปิดสอนสามารถรองรับได้เพียง 250 คนเท่านั้น หลักสูตรดังกล่าวใช้เวลาเรียน 10 สัปดาห์ เป็นการเรียนในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และที่สำคัญกว่าจะเรียนได้ครบทุกคนต้องใช้เวลา ระหว่างรอพยาบาลที่ยังคงต้องทำงานก็ต้องเสี่ยงกับการไม่มีการรับรองทางกฎหมาย

วิกฤตการขาดแคลนพยาบาลโรคไตและผลกระทบต่อผู้ป่วย

“อย่างตัวเองทำงานมา 19 ปี เรียนมาจากโรงเรียนแพทย์ ซึ่งพยาบาลเชี่ยวชาญโรคไต ไม่เคยเพียงพอ” นางพิราวรรณอธิบายถึงปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้ “ปีหนึ่งผลิตใหม่ได้แค่ 500 คน แต่คนไข้ฟอกไตที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 80,000 คน ซึ่งข้อบังคับให้ต้องมีพยาบาล 1 คน ต่อคนไข้ 4 คน ซึ่งยังต้องการพยาบาลเพิ่มอีก 1-2 หมื่นคน ปัจจุบันไม่เคยพอ”

เธอยังได้เน้นย้ำถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากพยาบาลทั้ง 1,000 คนที่ได้รับผลกระทบต้องหยุดปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะนี้พวกเขาได้รวบรวมรายชื่อพยาบาลที่ได้รับผลกระทบได้แล้ว 500 คนจากทั้งหมด 1,000 คน เพื่อนำมายื่นประกอบให้ศาลพิจารณา

ความไม่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือจากสภาการพยาบาล

เมื่อถูกถามถึงบทบาทของสภาการพยาบาลในการช่วยเหลือ นางพิราวรรณได้เล่าถึงการหารือที่ผ่านมา โดยสภาการพยาบาลเข้าใจว่ามีการขึ้นทะเบียนให้พยาบาลกลุ่มนี้เป็น “พยาบาลเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต” เป็นระยะ แต่ความจริงแล้ว มีการเปิดให้อบรมเพียงในช่วงปี 2552-2553 เท่านั้น และผู้ที่จะเข้าไปอบรมในหลักสูตรจะมีระยะเวลาเพียง 2 ปี รวมถึงผู้ที่จะเข้าเรียนได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งตัวนางพิราวรรณเองได้เรียนในปี 2549 ดังนั้นในปี 2552 จึงไม่มีคุณสมบัติในการสอบ และต้องรอจนกระทั่งมีการเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้งในปี 2567 ซึ่งเป็นการรอมาถึง 14 ปี แต่เมื่อลงทะเบียน ปรากฏว่าสภาการพยาบาลไม่อนุมัติ โดยให้เหตุผลว่าหลักสูตรที่เรียนมาในอดีตไม่ผ่านการรับรองของสภาการพยาบาล

ความล่าช้าในการรับรู้และแนวทางแก้ไขที่ไม่เพียงพอ

เมื่อถูกถามว่าทำไมเพิ่งทราบเรื่องข้อบังคับในปี 2567 ทั้งที่ข้อบังคับออกมาตั้งแต่ปี 2563 นางพิราวรรณอธิบายว่า ในปี 2567 สภาการพยาบาลได้ประกาศให้แจ้งเรื่องการขึ้นทะเบียนเวชปฏิบัติ เมื่อทราบเรื่อง พวกเขาได้หารือกับสมาคมพยาบาลโรคไตฯ ซึ่งแนะนำให้รวมตัวกันและยื่นสำรวจ จากนั้นจึงขออุทธรณ์ แต่กระทั่งปี 2568 กลับมีการประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ไขจากประกาศปี 2554 ต่อมาสมาคมพยาบาลโรคไตได้แจ้งว่า พยาบาลทุกคนต้องมีการพัฒนาทักษะเพิ่มเติมระหว่างรอหลักสูตรใหม่

“หลักสูตรอัพสกิล รีสกิล คือ ให้พยาบาลโรคไตไปเรียนการกู้ชีพพื้นฐานจากสถาบันต่างๆ เป็นหลักสูตรที่เรียกว่า ACLS ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่ง” นางพิราวรรณอธิบาย “แต่หลักสูตรนี้สถาบันที่เปิดไม่เยอะ แต่ละที่รองรับได้ 60 คน ขณะเดียวกัน ก็มีหน่วยอื่นๆ มาเรียนด้วย เมื่อเปิดหลักสูตรก็จะเต็มเร็วมาก”

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมถึงภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นว่า “หลักสูตรนี้ต้องจ่ายเพิ่มอีก 5-7 พันบาท ด้วยความที่เรียนน้อย บางคนต้องเสียค่าเดินทาง อยู่กรุงเทพมหานคร ไปเรียน จ.เชียงใหม่ ก็มี และ 1,000 คน ต้องใช้เวลาถึงจะเรียนครบ จากนั้นไม่นานก็มีหลักสูตรพยาบาลเวชปฏิบัติโรคไต ซึ่งระบุว่า เปิดให้กลุ่มเราเพื่อเป็นทางเลือกขึ้นทะเบียน แต่เป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น คือ หลักสูตรของจุฬาลงกรณ์ ราคา 40,000 บาท”

ในท่ามกลางความกังวลและความไม่แน่นอน พยาบาลฟอกไตกลุ่มนี้ยังคงรวมพลังกันเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม โดยหวังว่าศาลปกครองจะพิจารณาเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าว เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยโรคไตทั่วประเทศที่ต้องพึ่งพาการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในการมีชีวิตอยู่ต่อไป