ผท่ามกลางกระแสลัทธิกีดกันทางการค้าที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แสดงทัศนะอันน่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ในการสัมมนาเรื่อง “รายงานการค้าและการพัฒนาประจำปี 2024: ร่วมคิดใหม่ การพัฒนาในยุคสมัยแห่งความไม่พอใจ” ที่จัดขึ้นโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ร่วมกับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ณ ห้องโรงละคร อาคารสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568
ดร.ศุภชัยได้กล่าวเน้นย้ำว่า โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับที่สูงที่สุดในรอบศตวรรษ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบางภูมิภาคหรือบางกลุ่มประเทศเท่านั้น แต่ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความไม่แน่นอนนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามที่รายงานของ UNCTAD ประจำฤดูใบไม้ผลิปี 2025 ได้ระบุว่า ระดับความไม่แน่นอนด้านนโยบายในปัจจุบันได้เพิ่มสูงขึ้นถึงจุดวิกฤติ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง
สงครามการค้าที่เริ่มต้นขึ้นจากนโยบายของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกอย่างรุนแรง ดร.ศุภชัยชี้ให้เห็นว่า เราไม่สามารถวิเคราะห์นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ผ่านกรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิมได้อีกต่อไป แต่จำเป็นต้องพิจารณาในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ร่วมด้วย เนื่องจากสหรัฐอเมริกากำลังพยายามรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ในขณะที่เห็นได้ชัดว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีน กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้
ความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการรักษาอำนาจนำทางเศรษฐกิจได้นำไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยดร.ศุภชัยได้วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ ไม่ต้องการปล่อยมือจากบทบาทความเป็นผู้นำโลก ถึงแม้ว่าจะถึงเวลาที่ต้องแบ่งปันบทบาทความเป็นผู้นำในประชาคมโลกแล้วก็ตาม แนวคิดนี้ขัดกับหลักการของสหประชาชาติที่มุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 17 ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง
ผลกระทบของลัทธิกีดกันทางการค้าที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วนี้ได้ส่งผลให้รูปแบบการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ การค้าระหว่างประเทศกำลังปรับตัวสู่รูปแบบที่มีการกีดกันและแทรกแซงมากขึ้น การลงทุนข้ามประเทศเริ่มมีข้อจำกัดที่ซับซ้อนมากขึ้น และการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลกก็ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภชัยยังมองว่า แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะดูเลวร้ายและซับซ้อน แต่องค์การการค้าโลกนั้นได้ผ่านประสบการณ์วิกฤตมาแล้วหลายครั้ง และยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบการค้าโลก ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ สิ่งสำคัญที่ประชาคมโลกควรทำคือการพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และใช้กลไกการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ตามคำกล่าวของเทรีซา เมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่ว่า “อยู่ในความสงบ และเจรจากันเถิด”
ในขณะเดียวกัน ดร.ศุภชัยได้เสนอแนะว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพภายในประเทศ การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีการค้าโลก ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรใช้โอกาสจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในกรอบของอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน
การปรับตัวของภาคธุรกิจในยุคแห่งความไม่แน่นอนนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การกระจายความเสี่ยงทางการค้า การมองหาตลาดใหม่ และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ท้ายที่สุด ดร.ศุภชัยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างระบบธรรมาภิบาลระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อจัดการกับความท้าทายร่วมกันของโลก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม การมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาร่วมกันบนพื้นฐานของหลักการพหุภาคีนิยม จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาโลกให้ก้าวข้ามวิกฤตความไม่แน่นอนครั้งนี้ไปได้
การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เชี่ยวชาญและผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ประชาคมโลกควรร่วมมือกันผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม