ผู้หญิงที่สร้างชุมชนออนไลน์สำหรับคุณแม่ชาวเนวาดา ถูกตั้งข้อหาทารุณกรรมเด็กหลายข้อหา เหยื่อเป็นเด็กที่ถูกบังคับให้กระทำการอนาจารในห้องนอน
วันที่ 8 สิงหาคม 2025 – เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนใจได้เกิดขึ้นในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา เมื่อหญิงสาวที่เคยมีภาพลักษณ์เป็น “แม่ยอดเยี่ยม” ในโลกออนไลน์ ถูกเปิดเผยว่ามีพฤติกรรมทารุณกรรมและล่วงละเมิดเด็กในชีวิตจริง คดีนี้ได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาพลักษณ์ที่นำเสนอในโลกออนไลน์กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง
ผู้ก่อตั้งกลุ่มแม่ลูกยอดนิยมถูกจับ
นางคริสเตียน ออลต์ (Christiann Ault) หญิงวัย 35 ปี ผู้ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก “Las Vegas Super Moms” ซึ่งมีสมาชิกกว่า 30,000 คน ถูกตั้งข้อหาทารุณกรรมเด็กหลายข้อหา จากเอกสารศาลเขตคลาร์ก (Clark County Court) ที่นักข่าวได้ตรวจสอบ เธอถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดเด็กสองข้อหาและทารุณกรรมเด็กหนึ่งข้อหา จากเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดขึ้นในปี 2022
กลุ่ม “Las Vegas Super Moms” ถูกสร้างขึ้นในปี 2021 เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับคุณแม่ในลาสเวกัสให้ “พูดคุย เชื่อมต่อ บ่น หัวเราะ ระบายความรู้สึก ร้องไห้ ฉลอง และบางครั้งพบปะกัน” ตามคำอธิบายในเฟซบุ๊กของกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กิจกรรมของกลุ่มได้หยุดชะงักไปแล้วเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน
รายละเอียดข้อกล่าวหาที่น่าสะเทือนใจ
ตามเอกสารของศาลที่สำนักข่าวได้ตรวจสอบ นางออลต์ถูกกล่าวหาว่าบังคับให้เด็กเหยื่อ “ใช้อวัยวะเพศของตนเสียดสีกับหน้าอกและขาของเธอ โดยมีเจตนาที่จะกระตุ้นความต้องการทางเพศ” คำฟ้องที่ถูกเผยแพร่โดยสถานีข่าว 13 KTNV และ News 3 ระบุถึงลักษณะการกระทำที่ไม่สมควรเหล่านี้
เด็กเหยื่อได้เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า นางออลต์ล่อลวงให้เด็กทำตามที่เธอต้องการด้วยการสัญญาให้ “เล่นไอแพด” ตามเอกสารศาลที่สถานีข่าว 8 News Now และ News 3 ได้อ้างอิง
“แล้วเธอก็บังคับให้ฉันเอาอวัยวะส่วนตัวมาเสียดสีกับตัวเธอ ฉันไม่อยากทำ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ” เด็กเหยื่อได้ให้การไว้ต่อเจ้าหน้าที่
นอกจากการล่วงละเมิดทางเพศแล้ว นางออลต์ยังถูกกล่าวหาว่าขังเด็กเหยื่อไว้ในห้องเพราะโกรธใส่ และบอกเด็กว่าเธอเกลียดเขา เด็กเหยื่อได้เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังเรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียด
การข่มขู่และการควบคุมจิตใจ
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่นางออลต์ถูกกล่าวหาว่าข่มขู่เด็กเหยื่อด้วยความรุนแรงหากเด็กเปิดเผยการทารุณกรรมที่เกิดขึ้น ตามบันทึกของศาลที่สถานีข่าว 8 News Now ได้อ้างอิง
“เธอบอกฉันว่าอย่าไปบอกใครเรื่องนี้ ไม่งั้นจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น” เด็กเหยื่อได้เล่าให้ฟัง และเมื่อถูกถามว่า “สิ่งเลวร้าย” นั้นคืออะไร เด็กได้ตอบว่า “ตีฉัน ตะโกนใส่ฉัน อาจจะทำลายแก้วหูฉันให้แตก”
การข่มขู่เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการควบคุมและการใช้อำนาจเหนือเด็กที่ไม่มีทางป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมที่มีศีลธรรม
ระยะเวลาของการทารุณกรรม
เด็กเหยื่อได้ให้การต่อคณะลูกขุนใหญ่ว่าการทารุณกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสองปี โดยเกิดขึ้นสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งในห้องนอนของนางออลต์ จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2024 ตามเอกสารที่สถานีข่าว News 3 ได้อ้างอิง
ช่วงเวลาที่ยาวนานนี้แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดและความทรมานทางจิตใจที่เด็กเหยื่อต้องเผชิญ การที่เด็กต้องอดทนต่อการทารุณกรรมเป็นเวลานานเช่นนี้ ย่อมจะส่งผลต่อพัฒนาการทางจิตใจและอารมณ์ของเด็กอย่างมาก
หลักฐานจากการสนทนาทางวิดีโอ
หลักฐานที่คณะลูกขุนใหญ่ได้พิจารณารวมถึงการบันทึกวิดีโอการโทรศัพท์ที่นางออลต์ถูกกล่าวหาว่าอ้อนวอนเด็กเหยื่อไม่ให้เปิดเผยเรื่องราว โดยบอกว่าการทำเช่นนั้นอาจทำให้เธอต้องเข้าคุก สถานีข่าว 8 News Now รายงาน
“ขออภัยนะลูก แม่แค่กลัว” นางออลต์ได้พูดกับเด็กในการโทรศัพท์ “แม่แค่กลัวว่าจะต้องเข้าคุก พูดตรงๆ นะ แม่กลัว เพราะว่าเราสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตลอด และแม่คิดถึงหนู”
“แม่แค่อยากให้หนูรู้ว่าการพูดความจริงนั้นสำคัญแค่ไหน” นางออลต์ถูกกล่าวหาว่าได้พูดในส่วนอื่นของการสนทนา “แม่รู้ว่าหนูกลัวตอนนี้ และแม่รู้ว่าหนูสับสน แม่รู้”
การสนทนาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการจัดการกับสถานการณ์หลังจากที่การทารุณกรรมถูกเปิดเผย และยังแสดงให้เห็นถึงการที่ผู้ใหญ่พยายามใช้อำนาจและความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันเพื่อควบคุมเด็ก
การปฏิเสธข้อกล่าวหา
แม้จะมีหลักฐานต่างๆ มากมาย นางออลต์ได้ยื่นคำร้องไม่รับสารภาพต่อข้อกล่าวหาทั้งหมด ตามบันทึกของศาลที่ได้ระบุไว้ การปฏิเสธนี้เป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหา และศาลจะต้องพิจารณาหลักฐานทั้งหมดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินคดี
ผลกระทบต่อชุมชนและการสะท้อนใจของสังคม
คดีนี้ได้สร้างความตกใจและความสะเทือนใจให้กับชุมชนคุณแม่ในลาสเวกัส และสมาชิกกว่า 30,000 คนของกลุ่ม “Las Vegas Super Moms” หลายคนรู้สึกผิดหวังและเสียใจที่ผู้ที่พวกเขาเคารพและไว้วางใจในฐานะผู้นำชุมชน กลับมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่นำเสนอออนไลน์อย่างสิ้นเชิง
การที่บุคคลที่มีภาพลักษณ์เป็น “แม่ยอดเยี่ยม” และเป็นที่พึ่งพาของคุณแม่อื่นๆ กลับถูกเปิดเผยว่ามีพฤติกรรมทารุณกรรมเด็ก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในโลกออนไลน์ และความจำเป็นในการมีความระมัดระวังมากขึ้นในการไว้วางใจผู้อื่น
บทเรียนสำคัญสำหรับสังคม
คดีของนางออลต์เป็นเตือนใจให้ทุกคนได้เห็นว่าภาพลักษณ์ที่นำเสนอในโลกออนไลน์อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน การที่บุคคลหนึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในโซเชียลมีเดีย แต่กลับมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชีวิตจริง เป็นสิ่งที่ควรทำให้เราระมัดระวังและไม่หลงเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว
ความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การสอนให้เด็กรู้จักปกป้องตนเอง และการสร้างช่องทางให้เด็กสามารถขอความช่วยเหลือได้เมื่อประสบปัญหา เป็นสิ่งที่สังคมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น
การดำเนินคดีและกระบวนการยุติธรรม
ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และทางการจะต้องตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย หากนางออลต์ถูกพิสูจน์ว่ามีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา เธอจะต้องเผชิญกับการลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งอาจรวมถึงการจำคุกเป็นเวลานาน
สำหรับเด็กเหยื่อ การได้รับการดูแลทางจิตใจและการบำบัดที่เหมาะสม รวมถึงการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน จะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้เด็กสามารถฟื้นตัวจากการบาดเจ็บทางจิตใจที่เกิดขึ้น
ข้อมูลติดต่อขอความช่วยเหลือ
หากสงสัยว่าเด็กถูกทารุณกรรม สามารถโทรไปที่ Childhelp National Child Abuse Hotline หมายเลข 1-800-4-A-Child หรือ 1-800-422-4453 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ www.childhelp.org การโทรทั้งหมดฟรีและเป็นความลับ สายด่วนให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในกว่า 170 ภาษา
หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ให้ส่งข้อความ “STRENGTH” ไปที่ Crisis Text Line หมายเลข 741-741 เพื่อติดต่อกับที่ปรึกษาวิกฤตที่ได้รับการรับรอง
บทสรุป
คดีของนางคริสเตียน ออลต์ เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับสังคม เรื่องราวนี้เตือนใจเราถึงความสำคัญของการปกป้องเด็กจากผู้ที่อาจใช้อำนาจและสถานะทางสังคมในทางที่ผิด และความจำเป็นในการสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เด็กๆ สามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
ความแตกต่างระหว่างภาพลักษณ์ออนไลน์กับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันที่เห็นในคดีนี้ ควรทำให้เราระมัดระวังและไม่หลงเชื่อในสิ่งที่ปรากฏบนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียว การสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในสังคม และความกล้าหาญของเหยื่อในการออกมาเล่าเรื่องราวของตนเองก็เป็นก้าวสำคัญในการเปิดเผยความจริงและป้องกันไม่ให้เด็กคนอื่นๆ ต้องประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน