คดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมของ “นูร์ มูกาดัม (Noor Mukadam)” ลูกสาวนักการทูตชาวปากีสถาน โดยมือของ “ซาฮีร์ จาฟเฟอร์ (Zahir Jaffer)” ทายาทบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกตื่นรู้ถึงปัญหาความรุนแรงต่อสตรีในปากีสถาน หลังศาลฎีกาของปากีสถานเพิ่งยืนยันคำสั่งประหารชีวิตคนร้ายเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา ขณะที่ตอนนี้ซาฮีร์กำลังจะยื่นคำร้องขอความเมตตาจากประธานาธิบดีเป็นทางเลือกสุดท้าย
ชีวิตของนูร์ที่เต็มไปด้วยความหวัง
นูร์ มูกาดัม เกิดขึ้นในปี 1994 ที่ประเทศจอร์แดน ขณะที่บิดาของเธอ เชาค์กัต มูกาดัม ปฏิบัติหน้าที่เป็นนักการทูตอยู่ที่นั่น ต่อมาเมื่อครอบครัวย้ายไปประจำการที่เกาหลีใต้ นูร์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติที่กรุงโซล ก่อนจะไปศึกษาต่อในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สหรัฐอเมริกา
นูร์เป็นหญิงสาวอายุ 27 ปี มีร่างกายสูงโปร่ง เป็นคนมีชีวิตชีวา รักงานศิลปะ ชอบวาดรูป และรักสัตว์ เธอเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว โดยมีพี่สาวหนึ่งคนและพี่ชายหนึ่งคน แต่นูร์เป็นคนที่ใกล้ชิดกับบิดามากที่สุด
เพื่อนของนูร์บรรยายถึงเธอว่าเป็น “หญิงสาวที่พร้อมเดินทางไกลเพื่อคนที่เธอรัก ชอบขับรถออกไปซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ด และชอบเต้นรำบนหลังคาตอนฝนตก” นูร์มีดวงตาที่เปล่งประกายและรอยยิ้มที่แสดงถึงความอบอุ่นของเธอ
ซาฮีร์ จาฟเฟอร์: ทายาทผู้มั่งคั่ง
ฝั่งตรงข้าม ซาฮีร์ จาฟเฟอร์ อายุ 27 ปีเช่นเดียวกัน เป็นลูกชายของ ซาคีร์ จาฟเฟอร์ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งแห่งปากีสถาน ตระกูลจาฟเฟอร์เป็นเจ้าของ Jaffer Group of Companies หนึ่งในครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของปากีสถาน โดยมีธุรกิจหลากหลายสาขา ตั้งแต่ก๊าซ น้ำมัน พลังงาน ขนส่ง ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ
ซาฮีร์ถือสัญชาติคู่ปากีสถาน-อเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาในสาขาบริหารธุรกิจและจิตวิทยาจากสหรัฐอเมริกา หลังกลับมาปากีสถาน เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทครอบครัว และยังเป็นนักจิตบำบัดที่เปิดศูนย์ฟื้นฟูและจิตบำบัดชื่อ “Therapy Works” ในกรุงอิสลามาบัด
ความสัมพันธ์ที่ผูกพันมาแต่เด็ก
ครอบครัวของนูร์และซาฮีร์รู้จักมักคุ้นกันมาช้านาน ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อโตขึ้นพวกเขาก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนเดียวกัน คนรอบข้างต่างมองว่าสองคนนี้เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ทั้งในด้านชาติตระกูล ฐานะทางการเงิน การศึกษา และสถานะทางสังคม
อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มมีปัญหา นูร์เป็นฝ่ายขอยุติความสัมพันธ์ โดยให้เหตุผลว่าทัศนคติบางอย่างของพวกเขาไปกันไม่ได้ ซาฮีร์โกรธมากและส่งข้อความด่าทอเพื่อนๆ ของนูร์ แต่เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในวงสังคมเดียวกัน มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ทำให้ยังพบเจอกันตามงานสังสรรค์และอีเวนต์ต่างๆ และด้วยความผูกพันที่มีมาแต่เด็ก ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับมาคบกันอีกครั้ง
คืนแห่งความสยองขวัญ
คืนวันที่ 18 กรกฎาคม 2021 ซาฮีร์ชวนนูร์มาที่บ้านของเขาในย่านหรู F-7/4 ของกรุงอิสลามาบัด โดยบอกว่ามาเจอกันหน่อยเพราะพรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปอเมริกา ข้อมูลจากศาลเผยว่า ซาฮีร์ได้จองตั๋วเครื่องบินไปนิวยอร์กเที่ยวเดียวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม และกำหนดเดินทางในเวลา 3:50 น. ของวันที่ 19 กรกฎาคม
เมื่อนูร์ไปถึงบ้านของซาฮีร์เวลาประมาณ 22:00 น. ซาฮีร์ก็ขอนูร์แต่งงาน แต่เธอปฏิเสธ การปฏิเสธครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ซาฮีร์ยึดโทรศัพท์ของนูร์ไว้และขังเธอไว้ในบ้าน ส่วนตัวเขาเองก็ยกเลิกการเดินทางไปอเมริกา
ในเวลา 2:15 น. ของวันที่ 19 กรกฎาคม ซาฮีร์ออกมาจากบ้านพร้อมกับนูร์ที่เท้าเปล่า และทั้งคู่ขึ้นรถแท็กซี่ แต่ระหว่างทางซาฮีร์สั่งให้คนขับกลับรถ อ้างว่าสายเกินไปและไปไม่ทันเวลา
40 ชั่วโมงแห่งความทรมาน
หลังจากนั้นนูร์ถูกขังไว้ในบ้านของซาฮีร์เป็นเวลา 40 ชั่วโมง ตามข้อมูลจากผู้แทนทนายของครอบครัว นูร์ถูกลักพาตัวไว้เป็นเวลา 40 ชั่วโมง ซาฮีร์สั่งยามเฝ้าประตูและคนสวนว่าห้ามปล่อยเธอออกไป และห้ามใครเข้ามา
นูร์พยายามหลบหนีถึง 6 ครั้ง แต่ทุกครั้งซาฮีร์ตามไปลากตัวเธอกลับมา และคนงานของเขาก็ช่วยขัดขวางไม่ให้เธอหนีได้สำเร็จ
ขณะเดียวกัน ค่ำวันที่ 19 กรกฎาคม พ่อแม่ของนูร์กลับจากต่างจังหวัดแล้วพบว่าลูกสาวหายตัวไป ติดต่อไม่ได้ ถามเพื่อนๆ ก็ไม่รู้ ซาฮีร์ก็ปฏิเสธว่านูร์ไม่ได้อยู่กับเขา ก่อนที่พ่อแม่จะทันแจ้งความ นูร์ก็โทรมาบอกว่าเธอไปเที่ยวลาฮอร์กับเพื่อน ซึ่งพ่อกับแม่ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่นูร์ถูกซาฮีร์ขังไว้ที่บ้าน และถูกบังคับให้โกหก
การหลบหนีครั้งสุดท้าย
จากภาพกล้องวงจรปิดที่ศาลอนุญาตให้เผยแพร่ แสดงให้เห็นนูร์หลบหนีออกมาทางหน้าต่างห้องน้ำ แล้ววิ่งเท้าเปล่าไปที่ประตูรั้วด้วยความตื่นตระหนก แต่ยามไม่ยอมให้เธอออกไป แล้วซาฮีร์ก็กระโดดลงมาจากชั้น 2 และลากเธอกลับเข้าไปในบ้าน
นูร์ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ ทำให้ซาฮีร์โกรธมาก เขาทำร้ายเธอด้วยนวมเหล็ก (knuckle-duster) และใช้อาวุธมีคมตัดศีรษะเธอ ก่อนหน้านั้นเขาได้ข่มขืนและทรมานเธออย่างโหดเหี้ยม
ความพยายามปกปิดหลักฐาน
หลังจากฆ่านูร์แล้ว ซาฮีร์โทรบอกแม่ของเขา แต่แทนที่แม่จะแจ้งตำรวจ เธอกลับส่งพนักงานศูนย์บำบัด 7 คนไปที่บ้าน ตำรวจสงสัยว่าพนักงานเหล่านี้ถูกส่งไปทำลายหลักฐาน แต่แม่อ้างว่าส่งไปควบคุมสถานการณ์เท่านั้น
พนักงานคนหนึ่งพยายามเข้าไปในห้องที่ศพของนูร์อยู่ แต่ถูกซาฮีร์ทำร้ายบาดเจ็บจนต้องส่งโรงพยาบาล แต่พนักงานไม่กล้าแจ้งความ และโกหกหมอว่าประสบอุบัติเหตุบนถนน
ในที่สุดเพื่อนบ้านที่สังเกตเห็นความผิดปกติก็โทรแจ้งตำรวจ ซาฮีร์อ้างว่าเขาเป็นพลเมืองอเมริกันและไม่ยอมให้ตรวจค้น กว่าจะจับกุมเขาได้ก็เล่นเอาเลือดตกยางออก ตำรวจถึงกับช็อกเมื่อเห็นสภาพศพของนูร์ที่ถูกตัดศีรษะอย่างโหดเหี้ยม
การไต่สวนและหลักฐาน
คดีนี้มีคนถูกจับ 12 รายด้วยกัน นอกจากซาฮีร์ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลักแล้ว พ่อแม่ ยาม คนสวน และพนักงานศูนย์บำบัด ก็ถูกจับในข้อหาซ่อนเร้นพยานหลักฐานและสมรู้ร่วมคิดด้วย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายศาลสั่งปล่อยตัวพ่อแม่และพนักงานศูนย์ เพราะหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิด
หลังถูกจับ ซาฮีร์แต่งเรื่องว่านูร์ขอให้เขาจัดปาร์ตี้ยาเสพติดที่บ้าน เขาเมามากจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็พบว่านูร์ถูกคนในงานฆ่าตายแล้ว
แต่ตำรวจมีหลักฐานสำคัญในมือ นั่นก็คือกล้องวงจรปิด 8 ตัวในบ้านของซาฮีร์เอง พบว่าไม่มีปาร์ตี้ตามที่เขาอ้าง มีแต่คลิปที่นูร์พยายามหลบหนีและถูกซาฮีร์ทำร้าย ศาลยังระบุว่า “ไม่มีสัญญาณการแก้ไขในการบันทึกวิดีโอ การระบุตัวผู้ต้องหาถูกต้อง และรายงาน DNA ยืนยันการข่มขืน อาวุธที่ใช้ฆ่าก็พบว่ามีเลือดของเหยื่อ”
กระบวนการยุติธรรม
ระหว่างการพิจารณาคดี ซาฮีร์แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดมากมาย เช่น แกล้งบ้า แกล้งป่วย จนต้องหามเตียงไปขึ้นศาล และยังด่าทอผู้พิพากษา กระชากคอผู้ตรวจการ จนโดนลากออกจากห้องพิจารณาคดี
คดีนี้ผ่านการตัดสินจากทั้ง 3 ศาลแล้ว:
- ปี 2022 ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตซาฮีร์ และจำคุก 25 ปีสำหรับข้อหาข่มขืน ส่วนยามกับคนสวนให้จำคุกคนละ 10 ปี
- ปี 2023 ศาลสูง (Islamabad High Court) พิพากษายืนให้ประหารชีวิตซาฮีร์ และเปลี่ยนโทษจำคุกในข้อหาข่มขืนเป็นโทษประหารชีวิตเพิ่มเติม
- พฤษภาคม 2025 ศาลฎีกายืนยันโทษประหารชีวิต แต่เปลี่ยนโทษประหารชีวิตสำหรับข้อหาข่มขืนเป็นจำคุกตลอดชีวิต และลดโทษจำคุก 10 ปีสำหรับข้อหาลักพาตัวเป็น 1 ปี
ปฏิกิริยาของสังคม
คดีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในปากีสถาน มีการประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้นูร์ และแฮชแท็ก #JusticeForNoor แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย มีข้อกังวลว่าสหรัฐอเมริกาจะยื่นมือเข้าช่วยซาฮีร์ จนสถานทูตอเมริกาต้องออกแถลงการณ์ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงใดๆ
นักเขียนคอลัมน์ ฟาติมา ภุตโต หลานสาวและหลานของอดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถานสองคน เขียนบนทวิตเตอร์ว่า “การฆาตกรรมอันน่าสยดสยองของนูร์เป็นการทดสอบระบบที่ก้มหัวให้กับอำนาจและอิทธิพลได้ง่ายเกินไป”
นักสร้างภาพยนตร์หญิงชาวปากีสถาน Kanwal Ahmed ซึ่งย้ายไปอยู่แคนาดาโพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เมื่อคุณเกิดเป็นผู้หญิงในปากีสถาน แค่เติบโตมาโดยมีชีวิตรอดปลอดภัยก็ถือเป็นสิทธิพิเศษแล้ว”
ปัญหาความรุนแรงต่อสตรีในปากีสถาน
คดีของนูร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่ที่ปากีสถานเผชิญ ข้อมูลจากกระทรวงสิทธิมนุษยชนของปากีสถานระบุว่า ประมาณ 28% ของผู้หญิงอายุ 15-49 ปีเคยประสบกับความรุนแรงทางกายภาพตั้งแต่อายุ 15 ปี
รายงานประจำปี 2024 ของ Human Rights Commission of Pakistan (HRCP) เผยภาพที่น่าสะเทือนใจของความรุนแรงต่อสตรี โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 405 คนถูกฆ่าในนาม “เกียรติยศ” ความรุนแรงในครอบครัวยังคงแพร่หลาย ส่งผลให้มีการฆาตกรรม 1,641 ราย และการทำร้ายร่างกายในครัวเรือนกว่า 3,385 รายงาน
ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (NPB) บันทึกการข่มขืน 4,175 ราย การข่มขืนหมู่ 733 ราย การทำร้ายทางเพศในที่กัก 24 ราย และการข่มขืนจากญาติ 117 ราย
อัตราการปรับโทษในคดีข่มขืนยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก เพียง 0.5% และผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ไม่เคยแจ้งความ เนื่องจากอคติทางสังคม ความเฉยเมยของสถาบัน และความน่าจะเป็นของการถูกทำร้ายซ้ำ
ข้อมูลจากสายด่วนความรุนแรงในครอบครัวทั่วประเทศแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในครอบครัว 200% ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีที่แล้ว ตามรายงานของ Human Rights Watch และตัวเลขยิ่งแย่ลงหลังจากเดือนมีนาคม เมื่อมาตรการล็อกดาวน์ COVID-19 เริ่มขึ้น
ปากีสถานติดอันดับ 153 จาก 156 ประเทศในดัชนี Global Gender Gap 2021 ของ World Economic Forum ในภูมิภาคเอเชียใต้ ปากีสถานอยู่อันดับที่ 7 จาก 8 ประเทศ โดยมีอัฟกานิสถานอยู่อันดับสุดท้าย
อุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรม
องค์กร War Against Rape ประมาณการว่ามีเพียงน้อยกว่า 3% ของคดีการข่มขืนและทำร้ายทางเพศที่ได้รับการพิพากษาลงโทษ สำหรับคดีที่ได้รับการพิพากษาแล้ว ก็ไม่เสมอไปที่จะคงไว้ได้
นายกวาทิน ซาฮิด ซีอีโอของ Legal Aid Society (LAS) ในการาจี เล่าเหตุการณ์ว่า “เราเพิ่งพาผู้ชายคนหนึ่งขึ้นศาลและได้เงินอุปการะสำหรับลูกแฝดหญิง ผู้ชายคนนั้นหย่าแม่ของเด็กตอนที่เธอยังอยู่ในโรงพยาบาล เพียงเพราะเธอคลอดลูกเป็นหญิง”
“การพิจารณาคดีของผู้หญิงเริ่มต้นก่อนที่เธอจะเข้าสู่ห้องศาลด้วยซ้ำ” Dahri กล่าว ในคดีของนูร์ มูกาดัม การอ้างถึง “ความสัมพันธ์แบบอยู่ด้วยกัน” ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือกุขึ้น ถูกใช้โดยทนายของผู้ต้องหาเพื่อลดโทษประหารชีวิตสำหรับข้อหาข่มขืนเป็นจำคุกตลอดชีวิต
ทางเลือกสุดท้ายของซาฮีร์
ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซาฮีร์เตรียมยื่นคำร้องขอความเมตตาต่อประธานาธิบดี ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายของนักโทษประหารชีวิต โดยรัฐธรรมนูญปากีสถานอนุญาตให้ประธานาธิบดีอภัยโทษหรือเปลี่ยนแปลงโทษได้ภายใต้มาตรา 45
หัวหน้าเรือนจำอาเดียลาขอให้จัดตั้งคณะแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อประเมินสภาพของซาฮีร์ โดยระบุว่า “การประเมินทางการแพทย์และจิตเวชเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยื่นคำร้องขอความเมตตาต่อประธานาธิบดี” หลายฝ่ายคาดว่าการที่เขาแสดงอาการเป็นคนบ้ามาเป็นปีเพื่อสิ่งนี้
ความหมายต่อสังคมปากีสถาน
คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนูร์ มูกาดัม ได้ทำมากกว่าการยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นล่าง มันแสดงให้เห็นถึงการยืนยันความรับผิดชอบทางกฎหมายที่หาได้ยากในคดีความรุนแรงต่อเพศ จุดยืนที่ชัดเจนของศาลต่อการใช้ความเจ็บป่วยทางจิตเป็นโล่ป้องกันสำหรับความโหดร้ายที่เตรียมการมาล่วงหน้า และการปฏิเสธที่จะโค้งคำนับต่อแรงกดดันจากชนชั้นสูง ได้สร้างแนวทางสำคัญในประวัติศาสตร์กฎหมายของปากีสถาน
การฆาตกรรมของนูร์ มูกาดัมได้กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวออนไลน์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา คดีของนูร์ได้กระตุ้นให้เกิดคลื่นของการเคลื่อนไหวออนไลน์ที่ไม่เคยมีมาก่อน แฮชแท็กอย่าง #JusticeForNoor และ #SayHerName แพร่กระจายบนแพลตฟอร์มต่างๆ
สะท้อนปัญหาระบบยุติธรรม
แม้ว่าคดีของนูร์จะเป็นข้อยกเว้น แต่ก็เป็นข้อยกเว้นที่ทรงพลัง การที่ชายคนหนึ่งที่ร่ำรวยและมีความเกี่ยวข้องทางสังคมอย่างซาฮีร์ จาฟเฟอร์ไม่สามารถหลบหนีการพิพากษาได้ แม้จะใช้การป้องกันทางกฎหมายและจิตวิทยาทุกวิถีทาง นั่นเป็นการแสดงความคิดเห็นที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม การที่นูร์ได้รับความยุติธรรมก็ยังคงเป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ ในระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อปิดปากสตรี คดีของเธอยังคงเป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยาก ไม่ใช่กฎปกติ
คดีนูร์ มูกาดัมจึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ปากีสถานและประชาคมโลกต้องตื่นรู้ถึงปัญหาความรุนแรงต่อสตรีที่รุนแรงขึ้นในประเทศนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความยุติธรรมยังคงมีอยู่ แม้จะหาได้ยากและต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่ในขณะที่ซาฮีร์ยังมีโอกาสยื่นคำร้องขอความเมตตาได้ นูร์เคยร้องขอชีวิตจากเขา แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้ปรานี