ศิลปินแรปเปอร์เจ้าพ่อวงการเพลงชื่อดังหนีคดีหนักสุดได้ หลังศาลตัดสินแบบแยก ยังถูกจำกัดเสรีภาพรอฟังคำพิพากษา
หลังจากการพิจารณาคดีที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 และได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกอย่างเข้มข้น คดีอาญาของ Sean “Diddy” Combs อดีตเจ้าพ่อวงการเพลงฮิปฮอปผู้มีอิทธิพลทั่วฮอลลีวูด ได้มาถึงจุดหักเหของคดีในที่สุด
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ศาลสหรัฐฯ ประกาศคำตัดสินที่ทำให้ทั้งฝ่ายจำเลยและโจทก์สามารถอ้างชัยชนะได้ในแต่ละด้าน โดย คณะลูกขุนตัดสินว่า Combs มีความผิดในข้อหาธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณี (Transportation to Engage in Prostitution) สองกระทง แต่ไม่มีความผิดในข้อหาหนักที่สุดคือ ค้ามนุษย์เพื่อกิจกรรมทางเพศ (Sex Trafficking) และข้อหาขบวนการอาชญากรรม (Racketeering Conspiracy)
คำตัดสินที่แตกแยกแต่เป็นชัยชนะของดิดดี้
หลังจากการพิจารณาคดีนานกว่า 7 สัปดาห์ และคณะลูกขุนได้ฟังพยานฝ่ายโจทก์กว่า 34 ราย คำตัดสินของศาลถือเป็นชัยชนะสำคัญสำหรับ Combs เนื่องจากเขาหลุดพ้นจากข้อหาที่หนักที่สุดที่อาจทำให้ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต
นายมาร์ค แอกนิฟิโล ทนายหลักของ Combs กล่าวกับสื่อภายนอกศาลว่า “เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับ Sean Combs และเป็นชัยชนะของระบบลูกขุน” ขณะที่ครอบครัวและผู้สนับสนุนที่มารออยู่หน้าศาลได้โห่ร้องด้วยความดีใจและตะโกนเชียร์ว่า “Free Puff! Free Puff!”
การลูกขุนพิจารณาคดีที่ยากลำบาก
การตัดสินใจของคณะลูกขุนไม่ได้มาง่ายๆ ในช่วงแรกคณะลูกขุนส่งหนังสือแจ้งศาลว่าพวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้ในข้อหาขบวนการอาชญากรรม โดยระบุว่า “มีลูกขุนที่มีความเห็นไม่ยอมเปลี่ยนใจในทั้งสองฝ่าย” ศาลจึงสั่งให้พิจารณาต่อไปอีกหนึ่งวัน
ข้อหาและโทษที่เผชิญ
ข้อหาธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณีที่ Combs ถูกตัดสินลงโทษมีโทษสูงสุดคือจำคุก 10 ปีต่อหนึ่งข้อหา ซึ่งหมายความว่าเขาอาจต้องโทษจำคุกรวมกันสูงสุด 20 ปี อัยการระบุว่าจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 4-5 ปี โดยจะมีการประกาศคำพิพากษาในวันที่ 3 ตุลาคม 2568
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมองว่าคำตัดสินนี้เป็นชัยชนะอย่างมากสำหรับ Combs เนื่องจากเขาหลุดพ้นจากข้อหาขบวนการอาชญากรรมที่มีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต และแม้จะถูกตัดสินในข้อหาธุระจัดหา “โทษขั้นต่ำคือไม่มีอะไรเลย” และเขาน่าจะได้รับโทษประมาณ 3-6 ปี
ศาลปฏิเสธการประกันตัว
แม้จะหลุดพ้นจากข้อหาหนัก แต่ ศาลปฏิเสธคำร้องขอประกันตัว 1 ล้านดอลลาร์ของทีมทนาย โดยตุลาการ Arun Subramanian กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนและน่าเชื่อถือว่าเขาไม่ก่อให้เกิดอันตราย” Combs จึงยังคงต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำ Metropolitan Detention Center ในบรุคลินจนกว่าจะมีการประกาศคำพิพากษา
หลักฐานที่น่าตกใจจากการบุกค้น
หนึ่งในด้านที่น่าตกใจที่สุดของคดีนี้คือหลักฐานที่ตำรวจยึดได้จากการบุกค้นบ้านของ Combs เจ้าหน้าที่พบเบบี้ออยลมากกว่า 1,000 ขวด และสารหล่อลื่นอีกหลายร้อยขวด ซึ่งใช้ในงานปาร์ตี้ “Freak-Off” ที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ยังพบยาเสพติด อาวุธปืน AR-15 ที่เลขซีเรียลถูกขูดทิ้ง และเงินสดจำนวนมาก
ในห้องพักโรงแรมที่ Combs ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่พบเบบี้ออยล, ยา ketamine สีชมพู และเงินสด 9,000 ดอลลาร์ รวมถึงขวดยาคลื่นไส้ที่ออกให้กับชื่อ “Frank Black” ซึ่งเป็นนามแฝงที่ Combs มักใช้
ปาร์ตี้อื้อฉาวและความเชื่อมโยงกับดาราดัง
Combs เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าภาพงานปาร์ตี้ระดับ A-list ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะงาน “White Party” ประจำปีในแฮมป์ตันส์และเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ งานปาร์ตี้เหล่านี้จัดขึ้นตั้งแต่ปี 1998 ถึง 2009 และมีดาราดังมากมายเข้าร่วม เช่น Justin Bieber, Jennifer Lopez, Mariah Carey, Paris Hilton และ Leonardo DiCaprio
ในระหว่างการพิจารณาคดี มีดาราและบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนถูกเอ่ยถึง รวมทั้ง Kanye West, Usher, Kid Cudi, Britney Spears, Rihanna และแม้แต่ Barack Obama แต่การเอ่ยถึงนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
น่าสังเกตว่าในช่วงที่คดีกำลังดำเนินอยู่ เพื่อนดาราของ Combs เกือบทั้งหมดเลือกที่จะห่างเหินและไม่มีใครออกมาสนับสนุนเขา ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเพลงชี้ว่า “การเกี่ยวข้องกับ Combs และคดีนี้มีความเสี่ยงและอาจทำลายภาพลักษณ์ของดาราระดับ A-list”
พยานสำคัญและข้อกล่าวหาหลัก
Casandra “Cassie” Ventura อดีตแฟนและศิลปินในสังกัดของ Combs เป็นพยานสำคัญที่ให้การว่าถูกบังคับให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ทางเพศที่เรียกว่า “Freak-Offs” ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 4 วัน และทำให้เธอมีปัญหาสุขภาพทางกายและจิตใจ
อัยการกล่าวหาว่า Combs จัดงาน “Freak-Offs” ที่เป็น “การแสดงทางเพศที่วางแผนอย่างประณีตซึ่ง Combs จัดขึ้น กำกับ และมักจะบันทึกวิดีโอไว้” โดยมีการใช้ยาเสพติด การข่มขู่ และการใช้ความรุนแรงเพื่อบังคับผู้เข้าร่วม
ผลกระทบต่อวงการและอนาคต
แม้ว่าคำตัดสินนี้จะถือเป็นชัยชนะของฝ่ายจำเลย แต่ภาพลักษณ์ของ Combs ได้รับความเสียหายอย่างถาวร ความหมายของ “Diddy Party” จะถูกเปลี่ยนไปตลอดกาล และชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้ประกอบการและนักบันเทิงได้รับความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขได้
Combs ได้สูญเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจจำนวนมากแล้วตั้งแต่คดีความเริ่มต้น เขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธานของบริษัทสื่อ Revolt TV และขายหุ้นในเดือนมิถุนายน โดยมีแบรนด์ถึง 18 แบรนด์ตัดความสัมพันธ์กับธุรกิจของเขา
คดีแพ่งที่ยังคงรอการพิจารณา
แม้คดีอาญาจะจบลงแล้ว แต่ Combs ยังต้องเผชิญกับคดีแพ่งอีกหลายสิบคดีที่กล่าวหาเขาในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ และในคดีแพ่งเหล่านี้ เขาจะไม่มีสิทธิ์ใช้poperty Amendment ที่ 5 เหมือนในคดีอาญา และอาจถูกบังคับให้ให้การหากถูกนำตัวขึ้นศาล
ปฏิกิริยาจากผู้เกี่ยวข้อง
นางเคสสี เวนทูรา ผ่านทนายความได้ออกแถลงการณ์ว่า แม้ Combs จะไม่ถูกตัดสินในข้อหาค้ามนุษย์ แต่เธอได้ “ปูทางให้คณะลูกขุนตัดสินว่าเขามีความผิดในข้อหาธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณี”
ขณะที่กลุ่มสิทธิสตรีและนักกิจกรรมหลายคนแสดงความผิดหวังกับคำตัดสิน โดยอาริชา แฮทช์ จากองค์กร UltraViolet กล่าวว่า “คำตัดสินวันนี้ไม่เพียงเป็นรอยเปื้อนของระบบยุติธรรมอาญาที่ล้มเหลวในการลงโทษผู้กระทำผิดเหมือน Diddy มาหลายทศวรรษ แต่ยังเป็นการกล่าวโทษวัฒนธรรมที่การไม่เชื่อผู้หญิงและเหยื่อการล่วงละเมิดยังคงมีอยู่”
บทสรุป: ชัยชนะที่มาพร้อมกับความเสียหาย
คำตัดสินในคดี Sean “Diddy” Combs ถือเป็นตัวอย่างของการต่อสู้ทางกฎหมายที่ซับซ้อน ที่ทั้งสองฝ่ายสามารถอ้างชัยชนะได้ในระดับหนึ่ง สำหรับ Combs การหลุดพ้นจากข้อหาที่อาจทำให้ต้องจำคุกตลอดชีวิตถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ แต่การถูกตัดสินในข้อหาธุระจัดหาและการถูกปฏิเสธประกันตัวแสดงให้เห็นว่ายังไม่ใช่การหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์
คดีนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของบุคคลหนึ่งคน แต่เป็นการเปิดโปงปัญหาในวงการบันเทิง ซึ่งอำนาจและอิทธิพลอาจถูกใช้ในทางที่ผิด การที่ดาราและบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนเลือกที่จะห่างเหินจาก Combs ในช่วงคดีแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการที่เริ่มใส่ใจในประเด็นการล่วงละเมิดมากขึ้น
สำหรับอนาคต Combs จะได้ทราบโทษที่แน่นอนในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 และการที่เขาต้องรับโทษจำคุกก็เป็นจุดจบของยุคทองของหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการฮิปฮอป แม้ว่าจะไม่ใช่การลงโทษที่หนักที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้
คดีนี้จะยังคงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความรับผิดชอบของบุคคลมีอิทธิพล และเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงที่เริ่มให้ความสำคัญกับเสียงของเหยื่อมากขึ้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ชื่อเสียงและมรดกของ Sean “Diddy” Combs ในวงการเพลงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป